เข้าเวียดนามให้รอด ไม่ใช่แค่ส่งไปให้ถึง: บทเรียนจากการสร้างแบรนด์ในตลาดที่ต่างจากไทยโดยสิ้นเชิง

ตลาดเวียดนามไม่เหมือนไทย ส่งออกไม่ใช่แค่หาดิสทริบิวเตอร์ แต่ต้องเข้าใจแบรนด์ ภาษา และพฤติกรรมผู้บริโภคจริง ๆ

เวียดนาม: โอกาสทองที่ต้องเข้าใจลึกกว่าตัวเลข

หลายธุรกิจไทยมองเวียดนามเป็น “ตลาดถัดไป” เพราะเห็น GDP โตไว ประชากรวัยทำงานเยอะ และค่าครองชีพยังแข่งขันได้

แต่ในคลาส SCB ITP #7 ที่ SEA Bridge ดูแล เราได้ฟังจาก ดร.ธนกฤต ศรีเกรียงทอง ว่า เวียดนามอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด หากยังยึด mindset แบบ “ขายได้ในไทย = ขายได้ที่อื่น”

การเข้าสู่ตลาดเวียดนามต้องใช้มากกว่าคอนเนกชัน หรือแปลฉลากให้ถูกภาษา

มันต้องเริ่มจาก “เข้าใจความต่าง” และ “ตั้งคำถามกับตัวเองให้ครบ”

ปัญหาที่เจอบ่อย: ทำไมแบรนด์ไทยไปไม่รอดในเวียดนาม?

  1. คิดว่าสินค้าดีอย่างเดียวพอ
    → แต่ตลาดเวียดนามให้ความสำคัญกับ Brand Experience, Review และบริการหลังการขายอย่างมาก
  2. มอบทุกอย่างให้ดิสทริบิวเตอร์
    → จนขาดการควบคุมคุณภาพ การตลาด และการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์
  3. ไม่เข้าใจวัฒนธรรมผู้บริโภค
    → เช่น คนเวียดนามเน้น “คุณภาพที่พิสูจน์ได้” มากกว่าราคาถูก และนิยมแบรนด์ที่มีเรื่องราวหรือปรัชญาชัดเจน
  4. ไม่ลงพื้นที่ด้วยตัวเอง
    → เชื่อข้อมูลจาก partner ฝั่งเดียว ไม่มีภาพจริงในตลาด

เปลี่ยนมุมมอง: การส่งออก = การบริหารธุรกิจอีกแห่ง

“อย่าเข้าใจผิดว่าการส่งออกคือการส่งของ แล้วให้คนอื่นจัดการทุกอย่าง”

แต่คือการบริหาร “อีกหนึ่งสาขา” ที่อยู่ต่างประเทศ มีภาษา วัฒนธรรม ช่องทาง และลูกค้าที่ไม่เหมือนกัน

ธุรกิจที่รอดในเวียดนาม คือธุรกิจที่เจ้าของยังลงมาดูเอง เข้าใจข้อมูลภาคสนาม และปรับกลยุทธ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าในพื้นที่

สร้าง Brand Equity ที่แปลงความชอบเป็นรายได้

สิ่งที่ผู้บริโภคเวียดนามให้คุณค่ามากคือ “ความน่าเชื่อถือ” และ “ภาพจำ”

  • แบรนด์ที่คนพูดว่า “เฮ้ย ทำไมดีจัง?”
  • แบรนด์ที่คนบอกเพื่อนว่า “ต้องลอง”
  • แบรนด์ที่ให้ประสบการณ์ดีตั้งแต่แพ็กเกจจนถึงบริการหลังการขาย

นี่คือ Brand Equity ที่ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ แต่คือ พลังในการเปลี่ยนความชอบเป็นการซื้อซ้ำ

5 ปัจจัยที่ต้องเตรียมก่อนลุยเวียดนาม

  1. Brand DNA ชัดเจน
    แบรนด์ของคุณแตกต่างจากคนอื่นตรงไหน? สื่อสารยังไงให้คนเวียดนามเข้าใจ?
  2. Product ต้องดีจริง และเข้าใจพฤติกรรมท้องถิ่น
    อย่าปรับแค่แพ็กเกจ ควรดูด้วยว่า texture, usage, หรือ even scent เหมาะกับตลาดนี้หรือไม่
  3. คู่ค้าที่ใช่ ไม่ใช่แค่ใครที่พอรู้จัก
    ต้องคุยตรง ๆ ชัดเจนเรื่องความคาดหวัง, บทบาท, การตลาด และต้องมีเวลาให้พาร์ทเนอร์ด้วย ไม่ใช่แค่ส่งของแล้วรอ
  4. เจ้าของต้องลงพื้นที่เอง
    ไปเห็นของจริง พูดคุยกับลูกค้า เข้าใจพฤติกรรม เช่น การซื้อของผ่าน TikTok, การให้ความสำคัญกับรีวิว, หรือช่องทาง e-commerce ที่นิยม
  5. ภาษาสำคัญกว่าที่คิด
    ถ้าพูดเวียดนามไม่ได้ ควรมีทีมที่ไว้ใจได้และเข้าใจทั้งสองฝั่ง หรือหากเรียนรู้ภาษาได้ยิ่งดี เพราะช่วยเข้าใจลึกกว่าแค่คำแปล

เสริมความแข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์ภูมิภาค: ใช้ FTA ให้เป็น

เวียดนามคือหนึ่งในประเทศที่ไทยมี FTA ด้วย

ทำให้หลายธุรกิจสามารถ

  • ตั้งฐานการผลิตที่นั่น
  • นำเข้าสินค้ากลับไทย
  • หรือส่งออกต่อไปประเทศที่ 3 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นี่คือโอกาสในการสร้าง supply chain ที่ยืดหยุ่น และขยายตลาดได้แบบต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง

สรุป: อยากไปไกล ต้องเข้าใจให้ลึก

ตลาดเวียดนามไม่ใช่จุดหมายที่ง่าย แต่เป็นโอกาสใหญ่สำหรับธุรกิจไทยที่เข้าใจจริง

ส่งออกไม่ใช่แค่หาตัวแทน แต่คือการบริหารแบรนด์ใหม่ในบริบทที่แตกต่าง

และการเข้าใจ Brand Equity + Insight ผู้บริโภค คือเครื่องมือที่ทำให้คุณ “รอด” และ “โต”

Exploring the Latest in Our Blog

Related Insights