ผู้ก่อตั้ง SEA Bridge เปิดวิสัยทัศน์การทูตเศรษฐกิจไทยยุคใหม่ ที่ไม่ได้ส่งออกแค่สินค้า แต่ส่งออกแรงบันดาลใจ พร้อมเปิดแนวทางสำหรับผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลก
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 กระทรวงการต่างประเทศจัดงานเสวนาวิชาการในวาระครบรอบ 150 ปี ภายใต้หัวข้อ "การทูตเศรษฐกิจ: จากยุค Changing Constants สู่ยุค Constant Changes"
ทีมงาน SEA Bridge รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ คุณธนกฤษณ์ เสริมสุขสัน (แคสเปอร์) ผู้ร่วมก่อตั้งของเรา ได้รับเชิญจากกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศให้ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์กับผู้นำภาครัฐและเอกชนระดับประเทศ
"เราไม่ได้ส่งออกแค่สินค้า แต่เราส่งออกแรงบันดาลใจ"
แคสเปอร์เปิดประเด็นที่น่าสนใจว่า การทูตเศรษฐกิจยุคใหม่ต้องคิดนอกกรอบ เราต้องเข้าใจว่า วัฒนธรรม เทคโนโลยี และค่านิยม คือเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่ทรงพลังที่สุดในศตวรรษนี้
"เราต้องพูดได้ 3 ภาษา — ภาษาคอม ภาษาต่างประเทศ และ 'ภาษาคน' เพื่อให้เศรษฐกิจไปไกล และผู้คนเข้าใจว่าเรากำลังทำอะไร"
เขายกตัวอย่าง ลิซ่า BLACKPINK ที่หยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง และเป็นการทูตเชิงเศรษฐกิจที่ดีกับประเทศไทย หรือแม้กระทั่ง Samsung ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเกาหลีใต้ เป็นภาพสะท้อนของการ "ส่งออก Soft Power" อย่างชาญฉลาด
หนึ่งในข้อความที่ได้รับเสียงปรบมือมากที่สุด:
"เราไม่ได้ขาดคนเก่ง — แต่เราขาดระบบที่เปิดโอกาสให้เขาได้ล้ม ลุก และลุยต่อ"
ประเทศไทยมีคนเก่งมากมาย แต่ระบบยังไม่เอื้อให้พวกเขา "ไปต่อ" ได้สุดทาง แม้เรามีวีซ่าสำหรับแรงงานทักษะสูง แต่การใช้งานจริงกลับติดขัด
SEA Bridge เสนอแนวทางแก้ไข:
"คนรุ่นใหญ่ชอบฝากความหวังไว้กับคนรุ่นใหม่ — แต่ไม่ยอมปล่อยมือ"
ประเทศไทยไม่ต้องการแค่ Entrepreneurial Mindset แต่ต้องการ "Entrepreneurial Spirit จิตวิญญาณแห่งความหวัง" ที่กล้าเริ่มใหม่ ล้มแล้วลุกอีก
SEA Bridge เสนอแนวคิด "4M Solution":
"สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ระบบ แต่คือการให้คนไทยมี 'ความหวัง' และ 'ความภูมิใจในความเป็นไทย' อีกครั้ง"
แคสเปอร์ได้เล่าถึงการก่อตั้ง SEA Bridge NextGen ที่เริ่มจากกลุ่มเล็กๆ ด้วยทุนส่วนตัว ปัจจุบันเติบโตเป็นเครือข่ายนักศึกษากว่า 580 คน จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ — จากจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ม.ขอนแก่น ไปจนถึงราชภัฏต่างจังหวัด
นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า เมื่อมีระบบที่เหมาะสม คนรุ่นใหม่พร้อมที่จะเติบโตและสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคม
แนวคิดที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือการให้สถานทูตไทยในต่างประเทศทำหน้าที่เป็น Co-working Space & Launchpad สำหรับธุรกิจไทย
แทนที่จะเป็นเพียงหน่วยงานราชการ สถานทูตควรเป็น "ประตูเข้า" ที่ช่วยเชื่อมผู้ประกอบการไทยเข้ากับระบบนิเวศของตลาดเป้าหมาย เป็นสะพานเชื่อมธุรกิจไทยออกสู่โลกได้จริง
หลักการสำคัญที่ SEA Bridge ยึดถือคือ "ใครๆ ก็เป็นนักการทูตได้" ไม่ว่าจะเป็น:
"อย่ารอให้โปสเตอร์เสร็จแล้วค่อยส่งให้เราแชร์ – เราอยากร่วมออกแบบไปด้วยกันตั้งแต่ต้น"
"โลกเปลี่ยนเร็วกว่าที่ระบบจะปรับตัวทัน แต่หากภาครัฐ ภาคธุรกิจ และคนรุ่นใหม่ เดินไปด้วยกันตั้งแต่ต้น ประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมหาศาลรออยู่"
เวทีครบรอบ 150 ปีของกระทรวงการต่างประเทศเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่แสดงให้เห็นว่าการทูตเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของทุกคนที่อยากเห็นประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
SEA Bridge พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของการทูตเศรษฐกิจแบบ Next Generation และขอเป็นพลังร่วมในการสร้างอนาคตที่มีความหวัง และไปได้ไกลกว่าเดิม
สำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่สนใจขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ หรืออยากเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย SEA Bridge NextGen สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของเรา