เมื่อโลกไม่เหมือนเดิม: ถอดบทเรียน Global Trade ในยุค Trump 2.0 และวิธีที่ธุรกิจไทยต้อง “เอาตัวรอดให้ได้จริง”

สงครามการค้า การเมืองโลกผันผวน และสินค้าจีนทะลัก กำลังเปลี่ยนเกมส่งออกไทย — สรุปสถานการณ์ พร้อมแนวคิด “เอาตัวรอด” ที่ SMEs ไทยทุกคนต้องรู้

โลกการค้า 2025: ความไม่แน่นอนที่กลายเป็น “เรื่องปกติใหม่”

ปี 2025 ไม่ใช่ปีที่สงบสำหรับผู้ส่งออกและธุรกิจข้ามชาติ — สหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีสินค้านำเข้ากว่า 36% สำหรับไทย (สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกและอาเซียน) ขณะที่เศรษฐกิจโลกถูกกดดันจากสงครามการค้า, ราคาพลังงาน, และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (อิสราเอล–อิหร่าน, ไทย–กัมพูชา)

ผลคือ “ความไม่แน่นอน” กลายเป็นสถานการณ์ปกติ ไม่ใช่แค่ในข่าว แต่กระทบการตัดสินใจลงทุน, การวางแผนส่งออก, และยอดขายของธุรกิจไทยอย่างเห็นได้ชัด

ดร. ฐิติมา เจริญวิวัฒนศิลป์ SCB EIC

3 ความจริงใหม่ที่ผู้ประกอบการต้องรู้

1. สงครามการค้า ไม่ได้จบแค่ US–China

สหรัฐฯ ใช้นโยบาย “Product Specific Tariff” เลือกเก็บภาษีรายสินค้า เพิ่มแรงกดดันคู่ค้า (ไทยติด Top 20 ประเทศที่โดนภาษีสูงที่สุด)

2. โลกการค้า “แยกขั้ว” และกระจุกตัว

ไทยพึ่งพาส่งออกไปสหรัฐฯ มากขึ้น (18% ของมูลค่ารวม, 10% ของ GDP) และนำเข้าจากจีนมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ สินค้าจีนทะลัก แย่งส่วนแบ่งทั้งในและนอกประเทศ ธุรกิจไทยเริ่มเสียเปรียบต้นทุน–นวัตกรรม

3. เศรษฐกิจโลก “ชะลอตัว-เงินเฟ้อกดดัน”

ข้อมูลจาก SCB EIC ชี้ว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2025–26 ขยายตัวต่ำลง เงินเฟ้อสูงกดดันต้นทุน แม้เศรษฐกิจบางภูมิภาค (อินเดีย ASEAN-5) ยังเติบโตดี แต่บรรยากาศรวมไม่เอื้อกับการ “รอให้ทุกอย่างกลับมาดีเหมือนเดิม”

ผลกระทบแบบ “สองทาง” ต่อผู้ประกอบการไทย

1. ทางตรง: สินค้าหลักเสี่ยงโดนภาษีเพิ่ม-แข่งขันด้านราคาไม่ได้

  • สินค้าส่งออกไทยกว่า 80% ไปสหรัฐฯ “เสี่ยง” โดนภาษีสูงกว่าคู่แข่ง (เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง พลาสติก เหล็ก อาหารแปรรูป)
  • หากต่อรอง Specific Tariff ไม่ทัน ไทยอาจโดนภาษีสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก/ประเทศเพื่อนบ้าน ขายแทนจีนไม่ได้
  • ตลาดหลักอื่น เช่น จีน, ญี่ปุ่น, ASEAN, EU ก็มีความเสี่ยงจากนโยบายตอบโต้และการชะลอตัว

2. ทางอ้อม: ของจีนทะลัก-ภาคผลิตไทยฟื้นยาก

  • ไทยนำเข้าจากจีนเพิ่มสูงสุดในรอบหลายปี ทั้งวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป จีนระบายสินค้าออกหลังเศรษฐกิจในประเทศชะลอ
  • สินค้าไทยหลายกลุ่มจึงแข่งขันลำบาก ทั้งในประเทศและตลาดโลก โดยเฉพาะสินค้าที่พึ่งพาวัตถุดิบจากจีน หรือเน้น “มูลค่าเพิ่มต่ำ”
  • การเติบโตของ e-commerce ต่างชาติ (เช่น SHEIN, TEMU) ทำให้สินค้าไทยถูกแทนที่ง่ายขึ้น ยิ่งถ้าไม่ได้สร้างแบรนด์หรือความแตกต่าง

ทางรอดใหม่ของธุรกิจไทย: ปรับ 4P ฝ่าวิกฤต (Products–Places–Preparedness–Partnership)

SCB EIC แนะนำว่า “เอาตัวรอด” ในยุคนี้ต้อง คิดและทำแบบ 4P

และต่อไปนี้คือวิธีนำไปใช้จริงสำหรับผู้ประกอบการไทย

1. Product: ต้องสร้างความต่าง อย่าแข่งแค่ราคา

  • เน้นพัฒนา/ปรับสินค้าตอบโจทย์ตลาดที่หลากหลาย ยกระดับ “คุณภาพ-ฟังก์ชั่น-เรื่องราว”
  • ลงทุน R&D, Design, Packaging, ESG, Health & Wellness
  • เพิ่ม value-added ต่อยอดจาก supply chain เดิม หรือหาความแตกต่างที่คนอื่นลอกไม่ได้
  • อย่า “พึ่ง OEM หรือแค่รับจ้างผลิต” — ต้องสร้างแบรนด์ สร้างนวัตกรรม สร้างสิทธิ์ในตลาด

2. Places: กระจายตลาด ลดเสี่ยง

  • หลีกเลี่ยงการพึ่งตลาดสหรัฐฯ หรือจีนเพียงอย่างเดียว
  • มองหาโอกาสในตลาดใหม่/ตลาดเฉพาะ (Niche) เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา
  • เพิ่มความแข็งแรงในตลาดอาเซียน ยกระดับ internal branding ในไทย–CLMV
  • กระจาย channel ทั้งออฟไลน์–ออนไลน์ อย่ารอ e-commerce ต่างชาติเข้ามา disrupt

3. Preparedness: ปรับตัวไว บริหารความเสี่ยง

  • หาพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain partner) สร้างเครือข่าย sourcing/กระจายวัตถุดิบ
  • เร่งเพิ่มประสิทธิภาพ กระจาย supplier/โรงงาน ลดความเสี่ยง supply chain disruption
  • ลงทุนเทคโนโลยีใหม่: automation, AI, data-driven, digital channel
  • บริหารสินค้าคงคลัง, cash flow, balance sheet ให้คล่อง
  • เตรียมรับความผันผวนต้นทุนจากราคาพลังงาน-ขนส่ง

4. Partnership: สร้างเครือข่ายพันธมิตร–ปรับโครงสร้าง

  • หาพันธมิตรภายใน value chain, ร่วมลงทุน/ทำตลาดกับ partner ที่เสริมจุดแข็ง
  • มองหาโอกาส M&A, joint venture, หรือ co-create กับธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ
  • ร่วมมือสร้างสินค้าใหม่ หรือ co-branding กับพันธมิตรต่างชาติ
  • สร้างเครือข่าย “ความรู้” — retrain/reskill พนักงานและทีมงานให้พร้อมกับเทคโนโลยี–ตลาดใหม่

Checklists สำหรับ SME/Corporate ไทยที่ต้อง “ปรับตัวทันที”

  • มีตลาดส่งออก >2 แห่งที่มียอดขายหลัก (ไม่นับแค่สหรัฐฯ–จีน)
  • สินค้าของคุณ “มีความต่าง” หรือมีเพียงพอสำหรับแข่งขันแบบ premium หรือ niche หรือไม่
  • แบรนด์คุณมีตัวตน–มี story ที่เล่าได้ในแต่ละตลาด
  • มีระบบบริหารซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่น สต๊อก–sourcing วัตถุดิบจากหลายแหล่ง
  • มี partner ใน value chain ที่ช่วยเจาะตลาดใหม่ๆ
  • เริ่มใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ/ลดต้นทุนหรือยัง (เช่น AI, automation, digital sales)
  • มีระบบเตือนภัยและแผนรับมือ “ความเสี่ยง” ทั้งการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ (contingency plan)
  • เตรียมแผน retrain/reskill ทีมงาน พร้อมรับเทคโนโลยีใหม่
  • ติดตามข่าวสารการเจรจาการค้าสหรัฐฯ/จีน/คู่ค้าหลักตลอดเวลา

สรุป: โลกใหม่ “ไม่รอคนที่ปรับตัวช้า” — ส่งออกไทยต้องคิดใหม่ ทำใหม่

โลกการค้า 2025–26 ไม่มี “สูตรสำเร็จเดิม” ให้กลับไปใช้ได้ ธุรกิจไทยที่ยืนอยู่ได้ต้องกล้าคิด กล้าปรับ และ “สร้างคุณค่าที่แตกต่าง” ในสายตาลูกค้าทั่วโลก

อย่าแข่งแค่ราคา — ต้องแข่งที่นวัตกรรม เรื่องราว และการสร้างเครือข่าย

ถอดบทเรียนจากส่วนหนึ่งของหลักสูตร SCB ITP 7

Exploring the Latest in Our Blog

Related Insights