ESG สำหรับนักส่งออกไทย: เปลี่ยนภาระ 'ความรับผิดชอบ' ให้เป็นกลยุทธ์แห่งการเติบโต

ESG ไม่ใช่ภาระด้านความรับผิดชอบอีกต่อไป แต่คือกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ผู้ส่งออกไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและแข่งขันในตลาดโลกได้

โลกเปลี่ยนเร็ว แต่ "ความยั่งยืน" คือจุดยืนที่มั่นคง

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ภูมิรัฐศาสตร์ และแรงกดดันจากผู้บริโภคทั่วโลก ทำให้ “ความยั่งยืน” (Sustainability) ไม่ใช่แค่คำหรูในรายงานประจำปี แต่กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสำหรับ ผู้ส่งออกไทย ที่ต้องเผชิญกับ

  • กฎเกณฑ์ด้าน ESG จากคู่ค้าต่างชาติ
  • ความคาดหวังจากลูกค้ารุ่นใหม่
  • และแรงผลักจากกระแสลงทุนแบบยั่งยืน (Sustainable Finance)

จาก “รายงาน” สู่ “กลยุทธ์” — ESG ในมุมมองที่ธุรกิจเข้าใจได้

ที่ SCB ITP รุ่นที่ 7 วิทยากรอย่าง ดร.เอื้อมพร ปัญญาใส ได้เปิดมุมมอง ESG ให้ชัดเจนว่า:

"ESG ที่ดีต้องไม่ใช่การเพิ่มภาระ แต่ต้องเป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจแข็งแรงขึ้นในระยะยาว"

ไม่ต้องพร้อม 100%

ไม่ต้องทำทุกข้อของ SDGs

แต่ต้อง เลือกทำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา และ ลูกค้ายินดีจ่าย

“ทำเท่าที่จำเป็น แต่ทำให้ดี และทำให้แข็งแรงพอจะไปต่อ”

เปลี่ยนวิธีคิดก่อนลงมือทำ

ผู้ส่งออกจำนวนมากยังเข้าใจ ESG ว่าเป็น ‘รายงานภาคบังคับ’ หรือ ‘กิจกรรม CSR’ แต่ถ้าเปลี่ยนมุมมองแบบนี้ ธุรกิจจะมีแรงขับที่แตกต่าง:

คิดแบบเดิม

  • ทำเพื่อให้ผ่านเกณฑ์
  • มองว่าเป็นต้นทุน
  • ทำแบบ copy/paste
  • ทำตามคำสั่ง buyer

คิดแบบกลยุทธ์

  • ทำเพื่อเพิ่มมูลค่า
  • มองว่าเป็นการลงทุน
  • ทำแบบเลือกที่ใช่ และสื่อสารได้
  • ทำก่อน และใช้เป็นจุดขาย

ผู้ประกอบการที่เข้าใจ ESG แบบกลยุทธ์จะเริ่มจากคำถามง่าย ๆ:

  • บริษัทเราจะอยู่ได้อีกกี่ปี?
  • ถ้าจะส่งออกไปยุโรป ญี่ปุ่น หรือสหรัฐฯ ลูกค้าต้องการ ESG เรื่องไหน?
  • เรามีจุดแข็งอะไรอยู่แล้ว ที่สามารถรายงานและต่อยอดได้?

ESG ที่ดี = ทำให้ลูกค้า “ว้าว” ไม่ใช่แค่ “โอเค” แต่ไม่เห็นคุณค่า

3 ขั้นของการเดิน ESG อย่างมีทิศทาง

  1. License to Operate
    ขั้นแรกของทุกธุรกิจที่ต้องการส่งออก คือการผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ เช่น แรงงานปลอดภัย ไม่มีสารอันตราย มีการติดตามย้อนกลับในห่วงโซ่อุปทาน
  2. Operational Efficiency
    ขั้นที่สองคือการใช้ ESG เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น ลดการใช้พลังงาน ลดของเสีย พัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงเป้า
  3. Value Creation
    ขั้นสูงสุด คือการใช้ ESG เพื่อสร้างแบรนด์ สร้างจุดต่าง และขยายตลาด เช่น นำเสนอความโปร่งใสผ่าน QR code, หรือเล่าเรื่องราวของการผลิตอย่างรับผิดชอบ

ธุรกิจไม่จำเป็นต้องเริ่มจากใหญ่ที่สุด แต่ต้องเริ่มจาก สิ่งที่จับต้องได้ และมีผลกับลูกค้า

ตัวอย่างจริงจากธุรกิจไทย

  • LPN แทนที่จะบริจาคให้ชุมชน ใช้แนวคิด Social Enterprise ที่สร้างงานและบริการจากชุมชนโดยรอบให้มาทำงานที่โครงการที่อยู่อาศัยได้
  • เอเจนซี่อีเวนต์ เปลี่ยนจากขายงานเป็นครั้ง ๆ มาทำน้ำรีไซเคิลให้โรงแรม จนกลายเป็นธุรกิจใหม่ที่รายได้โตต่อเนื่อง

เริ่มตรงไหนก่อนดี?

ดร.เอื้อมพรแนะนำให้เริ่มจาก “G” หรือ Governance ก่อน เพราะเป็นรากฐานที่วัดผลได้จริง เช่น:

  • โปร่งใสเรื่องจัดซื้อจัดจ้าง
  • มีระบบติดตามตรวจสอบภายใน
  • สื่อสารชัดเจนเรื่องแรงงานและห่วงโซ่อุปทาน

จากนั้นค่อยต่อยอด “S” (Social) และ “E” (Environment) ที่เหมาะกับธุรกิจ เช่น เรื่องแรงงานปลอดภัยในโรงงาน, ลดใช้พลาสติก, ใช้วัตถุดิบจากแหล่งรับผิดชอบ เป็นต้น

ESG Checklist

คำถาม 3 ข้อที่ผู้ส่งออกไทยควรถามตัวเองวันนี้

  1. ลูกค้าหลักของเรามีเกณฑ์ ESG หรือไม่?
  2. เรามีจุดแข็งด้านใดที่สามารถเล่าในมุม ESG ได้ทันที?
  3. ถ้าไม่ทำเลยวันนี้ ในอีก 1–2 ปี จะมีผลกระทบกับยอดขายหรือไม่?

ความยั่งยืน = ธุรกิจที่แข็งแรง พร้อมรับมืออนาคต

โลกกำลังขยับจาก “สินค้าดี ราคาโอเค” → ไปสู่ “ธุรกิจแบบไหนที่เรายินดีสนับสนุน”

ESG จึงไม่ใช่แค่กลยุทธ์เพื่อส่งออกเท่านั้น แต่คือการ ออกแบบธุรกิจให้อยู่รอดในอนาคต

และสำหรับผู้ประกอบการไทย — การเริ่มต้นวันนี้คือข้อได้เปรียบที่คู่แข่งอาจยังไม่ทันเห็น

Exploring the Latest in Our Blog

Related Insights