เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2025 สหรัฐอเมริกาได้มีหนังสือแจ้งรัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการว่า จะเริ่มจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 36% ครอบคลุมทุกหมวด ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป
ในจดหมายดังกล่าวมีข้อความที่ตีความได้ว่า:
นี่ไม่ใช่แค่การขึ้นภาษีธรรมดา แต่เป็น “แรงกดดันเชิงยุทธศาสตร์” ที่ต้องอ่านระหว่างบรรทัด
สิ่งที่ชัดเจนคือ ไทยยังไม่มี “โต๊ะเจรจาที่มีอำนาจต่อรอง” เท่าเพื่อนบ้านและหากไม่มีการปรับตัวทันเวลา ผู้ประกอบการไทยอาจเสียเปรียบทั้งด้านยอดขาย และความน่าสนใจในการลงทุน เนื่องจากต้นทุนสินค้าจะสูงขึ้นกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
สหรัฐใช้ภาษีนี้เพื่อสกัดสินค้าจีนที่เปลี่ยนเส้นทางผ่านประเทศอื่น เช่น ไทยหรือเวียดนาม (แม้เวียดนามจะได้ภาษี 20% แต่หากตรวจได้ว่ามาจากที่อื่นจะคิดภาษีที่ 40%)
หากสินค้าคุณมีส่วนประกอบจากจีน — เช่น วัตถุดิบ เครื่องจักร หรือบรรจุภัณฑ์ — ควรมีหลักฐานแหล่งที่มา (Certificate of Origin) ชัดเจน
บางบริษัทเลือกส่งสินค้าก่อนกำหนดภาษี เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่พุ่งสูงหรือเจรจาลดราคา/เปลี่ยนรูปแบบคำสั่งซื้อเพื่อแบ่งภาระกับคู่ค้า
ในสถานการณ์ที่ต้นทุนสูงขึ้น การขายสินค้าพรีเมียม หรือสินค้าที่มีคุณค่าเฉพาะตัว เช่น:
จะช่วยให้ผู้ซื้อยอมจ่ายแม้มีภาษี
การรวมกลุ่มผู้ส่งออกเพื่อ:
อาจเป็นอีกทางรอดที่ทำได้ไวกว่าเจรจาแบบประเทศต่อประเทศ
หลายเสียงบอกว่า…
“พูดง่าย แต่ทำยาก”
เราเห็นด้วยครับ
แต่ในวันที่สถานการณ์ไม่แน่นอน
สิ่งที่แน่นอนคือการ “ลงมือปรับวันนี้” อาจช่วยให้ธุรกิจคุณรอดในวันพรุ่งนี้
และคุณไม่ต้องสู้คนเดียว
Q: ถ้าไม่ได้ส่งออกไปอเมริกาโดยตรง แต่ขายผ่านประเทศอื่น เช่น สิงคโปร์ จะโดนไหม?
A: หากประเทศปลายทางคือสหรัฐ สินค้าจะถูกตรวจสอบย้อนกลับเสมอ ควรมีหลักฐานแสดงการแปรรูปในไทยชัดเจน
Q: สินค้าเกษตรหรือของกินจะกระทบมากไหม?
A: กระทบแน่นอน หากอยู่ในกลุ่มที่ถูกตีว่าแข่งขันด้านราคากับจีน — ควรเร่งพัฒนา Storytelling และความแตกต่างของแหล่งที่มา
Q: ถ้าไม่อยากออกตลาดสหรัฐอีกเลย ควรไปไหน?
A: ตลาดที่กำลังขยายตัวและมีข้อตกลงภาษีที่ดีกับเรา ได้แก่ เวียดนาม, อินเดีย, UAE, ซาอุ และ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม)